เนื่องจากกุฎิหลังแรกดูจะวิบากเกินกำลังอินทรีย์ของเราจนเกินไป จนได้ยินว่ามีเพื่อนพระท่านหนึ่งท่านไม่ได้ย้ายเข้ากุฎิที่ท่านได้รับ เพราะเป็นที่เล่าลือกันว่ากุฎิที่จะย้ายมาอยู่นี้อาจจะมีพลังงานบางอย่างอยู่ แต่เมื่อเทียบกับกุฎิหฤโหดหลังแรกแล้ว กุฎิหลังนี้ยังมีดีอยู่มาก แม้จะเล็กกว่า ส่วนห้องน้ำก็ไม่มีในตัว ต้องเข้าห้องน้ำรวม มีกุฎิเพื่อนพระอยู่ใกล้ๆไม่เห็นจะน่ากลัว มีอุโบสถอยู่ด้านบนถัดไป แน่นอนพระประธานศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่นั้น แต่อาจต้องเดินไกลสักนิดกว่าจะถึงหอฉัน แต่ก็มีสิ่งที่แปลกตาที่สุด ที่มองเห็นได้จากกุฎินั้นก็คือ “ต้นตะเคียนผูกผ้า 3 สี” พร้อมกับชุดสไบสีเขียว และโต๊ะวางกล่องเครื่องสำอางค์วางไว้ข้างๆกัน ที่ดูแปลกเพราะว่าวัดนี้ไม่เน้นเรื่องเครื่องราง ของขลัง หรือพิธีกราบไหว้สิ่งงมงาย นี่อาจเป็นกุศโลบายเพื่อรักษาต้นตะเคียนนี้ไว้ตอนสร้างโบสถ์ก็เป็นได้ เราจึงไม่ลังเลรีบย้ายข้าวของไปยังกุฎิหลังนี้หลังจากได้รับกุญแจจากพระเพื่อน และแจ้งย้ายกุฎิเรียบร้อยแล้ว โดยเราคิดเพียงว่าเราเป็นพระ พระจะกลัวผีไม่ได้ อะไรกัน! ผีดึงขาไม่มีหรอก
กุฎินี้เป็นกุฎิเล็กๆขนาดประมาณ 2.4x2.4 สร้างด้วยแผ่นซีเมนต์บอร์ด หน้าต่างบานเกร็ดกระจกทั้ง 3 ด้าน มองเห็นวิวด้านขวา และด้านหลังเป็นป่ารก แต่วิวด้านซ้ายนี่สิมองเห็นกุฎิเพื่อนพระอีกหลัง และต้นตะเคียน ใจก็บอกว่าไม่กลัวหรอก แต่ไม่รู้ทำไมต้องหาผ้ามาแขวนทำเป็นม่านบังตาไว้ ก็กระจกมันใสซะขนาดนั้น ต้องบังไว้เพื่อความเป็นส่วนตัวกันบ้าง จน 1 อาทิตย์ผ่านไป ก็หลับสบายจำวัดได้ปกติดี แม้จะอึดอัดและหนาวบ้างเพราะห้องเล็กและมีหน้าต่างโดยรอบ ในช่วงนี้ได้อ่านหนังสือคู่มือมนุษย์ ของท่านพุทธทาส(ฉบับย่อ) จบเป็นหนแรก แม้จะงงๆบ้างเพราะไม่เคยมีประสบการณ์ด้านนี้ เช่น ความรู้สึก ปีติ มันเป็นอย่างไรกันแน่ หรือ ลำดับขั้นในการบรรลุนี่ก็พึ่งเคยได้ยินชื่ออย่าง โสดาบัน อนาคามี สกิทาคามี อะไรพวกนี้ จนวันหนึ่งก็ได้ทำวัตรเย็น และนั่งสมาธิที่โบสถ์จนเกิดความสุขอย่างประหลาด มันเกิดขึ้นครั้งแรกแค่แป๊บเดียวเพราะตื่นเต้นมากจนหลุดจากสมาธิ หลังจากนั้นจึงได้อ่านคู่มือมนุษย์อีกรอบจนได้เข้าใจว่าอะไรเป็นอะไรมากขึ้น และรู้ว่านี่เป็นเพียงระยะเริ่มต้น กว่าเราจะบรรลุธรรมชั้นสูงนั้นยังอีกไกลแสนไกล และจากคนที่ไม่ค่อยเชื่อของการมีอยู่จริงของการบรรลุ นิพพาน จากการเจริญสติ ภาวนา ก็เชื่อมั่นอย่างสนิทใจว่ามีจริง หรือนี่แหละที่เรียกว่า “ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ” พระธรรมอันผู้บรรลุจะพึงรู้เฉพาะตัว ที่เคยสวดๆกันประจำ มันเป็นอย่างงี้นี่เอง
แต่แล้วคืนหนึ่งขณะกำลังเคลิ้มหลับ
มีความรู้สึกเหมือนว่ามีใครมาดึงผ้าห่มลงที่ขา เอาแล้วสิ
หรือเป็นอย่างที่เค้าเล่าลือกันจริงๆ ในใจคิดว่าไม่มีอะไรมั้ง อาจจะเป็นแค่พัดลม
พัดผ้าห่มเท่านั้นมั้ง เลยตั้งสติลุกขึ้นเปิดไฟ แล้วหันพัดลมไปอีกทางไม่ให้โดนตัว
เสร็จแล้วปิดไฟล้มตัวนอน ยอมรับว่าจิตใจสั่นๆนิดๆแล้ว
หรือจะเป็นอย่างที่เค้าลือกันจริงๆ ไม่สิ! มันเป็นแค่ลมพัด
แต่แล้ว.........................................ย้ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
เราร้องลั่นเลย ไม่รู้ว่ามีใครได้ยินรึเปล่า นี่มันไม่ใช้ลมพัดแล้ว
นี่มันอะไรไม่รู้พุ่งเข้ามาที่หน้าอกเนี่ย
บรึ๋ยส์................................................. เรารีบลุกขึ้นมาเปิดไฟ
แล้วขวานหาหนังสือสวดมนต์ เปิดหาบทแผ่เมตตา สวดอย่างเสียงสั่นๆ ตอนนั้นสับสนมาก
งงมาก เพราะไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร
แต่ยังดีที่ได้อ่านคู่มือมนุษย์ของท่านพุทธทาสแล้ว
จึงเข้าใจว่าอาจเป็นเพราะจิตปรุงแต่งไปเอง พอสวดเสร็จปิดไฟ แต่คงไม่หลับหรอก
จิตหลอนซะขนาดนี้ เลยนั่งภาวนาต่อ สักพักจนพบกับ............................ภาพดวงตาคมๆของผู้หญิงปรากฎอยู่ตรงหน้าขณะหลับตา
มองเห็นลางๆดูเหมือนร่างของเธอนั้นมีสีเขียวโปร่งแสง เราได้แต่ตั้งสติ โดยคิดว่า “ถ้ามีก็จะได้รู้ว่ามี
ถ้าไม่มีก็จะได้รู้ว่าจิตหลอกเราเอง” ในคืนนั้นก็อยู่กับภาพดวงตานั้นสักพักจนหายไป
จนได้นอนหลับก็ประมาณตี 2
ตื่นเช้ามาเราก็ทำตัวปกติ
ในสัปดาห์นั้นก็มีบ้างที่เพื่อนพระจะถามว่าเจออะไรมั้ย เราก็ตอบว่า ไม่มีอะไรนี่
ก็ปกติดี แต่หารู้ไหมว่าคืนนั้นเนี่ย หลอนสุดๆ
หลอนจนความคิดเกี่ยวกับเรื่องลึกลับของตัวเองเปลี่ยนไปเยอะ แต่ก่อนไม่เชื่อว่ามี
แต่ตอนนี้ก็ได้แต่คิดว่า “จะมีก็มี
จะไม่มีก็ไม่มี” เราก็พยายามทำตัวปกติ
เว้นแต่ตอนนี้ เวลาเปิดพัดลมก็หันไปไม่ให้โดนตัว กับหาผ้ามาปิดหน้าต่างด้านซ้ายไว้ตลอด
พร้อมพกไฟฉายไว้ไกล้ตัวด้วย (ไม่ได้ระแวงนะ แต่ต้องเตรียมพร้อมไว้อยู่เสมอ)
และคืนนี้ก็พบกับ เด็กผู้ชายตัวเล็กร่างเขียวโปร่งแสง ดูยิ้มแย้ม แก้มตุ้ยนุ้ย
ในใจก็ร้อง โอ้ย!
เจออะไรอีกเนี่ย! ก็เลยใช้สูตรเดิมสวดบท
แผ่เมตตา แล้วคิดว่า “จะมีก็มี จะไม่มีก็ไม่มี” จนจิตสงบ แล้วหลับไป
และหลังจากนั้นก็เจอเรื่อยๆ ทั้งผู้หญิงและเด็ก โดยเค้าอาจจะมาค่อยเตือนเราว่าไม่ให้ทำผิด
มากระตุ้นเราให้จิตเราตื่นอยู่เสมอ จะถือว่าเป็น ผู้ช่วยในการฝึกจิตที่ดีก็ว่าได้
อย่างคำสอนของท่านอาจารย์ใหญ่ในหนังสืออกิญจโนวาทที่ว่า “ความกลัวนี่
ถ้ามีสมาธิก็มีปัญญา ถ้าสมาธิไม่ดีก็เป็นอวิชชา”
เขมปญโญ