Saturday, July 5, 2014

เริ่มต้นที่ ความเรียบง่าย



เริ่มต้นที่ ความเรียบง่าย


ถ้าเราพูดถึงงานบวช หลายๆคนคงคิดถึงภาพพิธีรีตองมากมาย มีการแห่ขบวนโห่ร้องกันอึกทึก จัดเลี้ยงแขกเกลื่อด้วยอาหาร เครื่องดื่ม บ้างก็มีงานเลี้ยง มหรสพครึกครึ้นเสียงดังไปทั้งหมู่บ้าน แต่ทุกสิ่ง ทุกอย่างในวันนี้ที่วัดมาบจันทร์กลับปกติ เรายังค'ตื่นแต่เช้า ทำวัตร กวาดลานวัด ล้างเท้าพระ ทานข้าวเช้าตามปกติ นอกจากว่าวันนี้จะมีผู้คนมาทำบุญที่หอฉันมากกว่าปกติ แต่ก็ไม่ได้มีงานเลี้ยงพิเศษแต่อย่างใด ส่วนเราและเพื่อนผ้าขาวรวม 13 ชีวิตจำเป็นต้องปลีกตัวจากญาติๆมาเตรียมตัวที่โบสถ์ก่อนเวลา 11 โมง เพราะด้วยจำนวนคนที่มากจึงต้องเริ่มพิธีให้เร็วขึ้น เรานัดให้ญาติขึ้นไปรอที่โบสถ์เลยเพราะเกรงว่าถ้ามาสายกว่านี้การจราจรอาจจะติดขัด ที่จอดรถไม่มี พวกเราผ้าขาวต่างแยกย้ายกันเตรียมตัว เตรียมข้าวของ ซักซ้อมบทขานนาคอีกสักหน่อย จากนั้นใครคนไหนพร้อมแล้ว ญาติมาครบแล้ว ก็เดินวนรอบโบสถ์ 3 รอบอย่างเงียบๆ ไม่มีการโห่ร้องใดๆทั้งสิ้น เดินวนเสร็จแล้วจึงเข้ามาในโบสถ์กล่าวคำขอขมาพ่อ แม่ แล้วนั่งรอจนกว่าเพื่อนผ้าขาวจะมาครบ 13 คน และวัดนี้ไม่อนุญาตให้โปรยทานตามแบบงานบวชแบบไทยๆทั่วไป ในความเห็นส่วนตัวเห็นด้วยกับทางวัดที่ไม่มีการโปรยเหรียญทาน เพราะว่านอกจากจะลดความวุ่นวายได้ในระดับนึงแล้ว ยังเห็นว่ามันไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆเลยกับการศึกษาธรรมะ แถมยังส่งเสริมให้คนโลภมากอยากเก็บเหรียญได้เยอะๆอีก ส่วนเจ้าภาพก็เสียเงินส่วนนี้โดยใช่เหตุ แต่ถ้าหากเจ้าภาพเตรียมมาแล้วก็สามารถนำทานส่วนนี้เก็บกลับไปหรือนำไปบริจาคที่กุฎิสำนักงานได้


เรานั่งรอสักพักหนึ่งจนนาคมาครบทั้ง 13 คน พร้อมทั้งพระอุปัชฌาย์(นิมนต์จากวัดเขายายชุม) และพระคู่อันดับ(นิมนต์จากวัดมาบจันทร์) ก็มาครบถ้วนแล้ว พิธีการจึงเริ่มต้นขึ้นอย่างเรียบง่าย แต่ก็ไม่ได้ราบเรียบเสียทีเดียว เพราะยังมีบางช่วง บางตอนที่ยังท่องผิดๆถูกๆอยู่ แม้ว่าก่อนหน้านี้จะท่องมาดีแล้วแค่ไหน วันจริงวันนี้ยิ่งตื่นเต้นคงต้องมีลืมกันบ้าง ยิ่งช่วงที่เราจะต้องทำพิธีกันเป็นคู่ ต้องเดินไปกลางโบสถ์แล้วกล่าวคำขานนาคแล้วช่วงนี้จะตื่นเต้นที่สุด “เกษา โลมา นขา ทันตา ตโจ ...” เราได้ยินประโยคนี้รวม 7 ครั้ง ท่านให้มองว่าผมที่เราโกนออกไป ผิวหนังที่ห่อหุ้มร่างกาย สิ่งต่างๆเหล่านีล้วนเป็นสิ่งปฏิกูล ไม่สวยไม่งาม ไม่อยากให้เรายึดติด (เรียกว่า ตจปัญจกกัมมัฏฐาน) เราไม่เพียงแค่โกนหัวแล้วห่มผ้าเหลืองเพื่อบอกใครๆว่าเป็นพระ สิ่งสำคัญคือการพิจารณาใจตัวเอง ให้รู้จักกับกิเลส ละละวางมันให้ได้ และนี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการเป็นพระโดยสมบูรณ์ในเชิงพิธีการ แต่ภายในใจเรายังอยู่ห่างไกลจากคำว่า พระสุปฏิปัณโณ (พระปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ) ว่าแต่ตอนนี้เอาเพียงแค่ว่าจะห่มจีวรโดยลำพังได้อย่างไร

No comments:

Post a Comment